JMART คาดกำไรสุทธิปีนี้ทำนิวไฮจากทุกธุรกิจโตดี,SINGER ลดเป้าพอร์ตหลังไลเซ่นส์สินเชื่อส่วนบุคคลล่าช้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 22, 2019 18:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่จากที่เคยทำไว้ในปี 60 ราว 490.16 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่มีกำไรสุทธิแล้ว 255.32 ล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนหลักจากธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ภายใต้การบริหารของ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ที่มีการเติบโตได้ค่อนข้างมาก

ประกอบกับผลการดำเนินงานของบริษัทในเครือ อาทิ ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ของ บริษัท เจ ฟินเทค (J FINTECH) ธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ เจมาร์ท โมบาย (JAYMART MOBILE) และการเติบโตของ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ขณะที่ บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท (J) คาดว่าผลประกอบการทั้งปีนี้จะกลับมามีกำไรได้แม้ช่วงครึ่งปีแรกจะมีผลขาดทุน

"ภาพรวมของบริษัทต่างๆในกลุ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทที่มีผลขาดทุนในปีก่อนก็กลับมาทำกำไรได้ จากการปรับกลยุทธ์ต่างๆในปีก่อน โดยปีนี้เราเชื่อมั่นว่ากำไรสุทธิของเราจะขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ได้"นายอดิศักดิ์ กล่าวฃ

ด้านนายสิทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT เปิดเผยว่า บริษัทคงเป้าหมายรายได้กำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเติบโต 50% จากปีก่อน ซึ่งทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากจะมีกองหนี้ด้อยคุณภาพก้อนใหญ่ที่ตัดต้นทุนครบเข้ามาสนับสนุน

บริษัทยังเตรียมซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติมอีกราว 2,300 ล้านบาท จากช่วงครึ่งปีแรกที่บริษัทได้ซื้อหนี้เข้ามาบริหารจำนวน 1,235 ล้านบาท และมีมูลค่าพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพรวม ณ สิ้นไตรมาส 2/62 ราว 148,091 ล้านบาท

"การเก็บหนี้ก็ยังคงยากเหมือนเดิม แต่เราก็ยังคงทำได้ดีซึ่งเราก็ยังคงแผนที่จะซื้อหนี้เข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้เรายังคงมั่นใจว่าเราจะมีผลประกอบการเติบโตได้สูงต่อเนื่อง"นายสิทธิรักษ์ กล่าว

นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด หรือ JAYMART MOBILE เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ โดยมีการจัดโปรโมชั่นและแคมเปญฉลองครบรอบ 30 ปี เฟส 2 รวมถึงการเปิดตัวสินค้าใหม่ของแบรนด์ต่างๆกระตุ้นความต้องการซื้อ และการเพิ่มช่องทางการขายใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น อาทิ การขยายฐานลูกค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์ การเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ มุ่งเน้นในกลุ่ม Gadget และรองรับการเข้าสู่ยุค 5G

รวมทั้งการจับมือกับ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ AIS เป็นพันธมิตในการจัดทำโปรโมชั่นจำหน่ายสินค้า พร้อม SIM ได้ผลตอบรับที่ดีมีจำนวน SIM Subscriber ณ สิ้นเดือน มิ.ย.62 กว่า 17,000 SIM ต่อเดือน พร้อมตั้งเป้าปี 62 จะทำได้ใกล้เคียง 200,000 SIM

ด้านนายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SINGER เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตได้ค่อนข้างดี แม้ว่ารายได้อาจจะต่ำกว่าปีก่อน เนื่องจากมาร์จิ้นที่ได้จากธุรกิจการปล่อยสินเชื่อนั้นขยายตัวได้ค่อนข้างดี แต่บริษัทยอมรับว่าได้ปรับเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อรถทำเงินในปี 62 มาที่ 2,150 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 2,500 ล้านบาท เนื่องจากความล่าช้าของการได้รับใบอนุญาตการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

สำหรับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปัจจุบันอยู่ที่ 12% โดยทางบริษัทจะรักษาให้อยู่ในระดับไม่เกิน 10% จากการเติมสินเชื่อใหม่ที่มีคุณภาพ ประกอบกับการปรับพอร์ตโดยการขายหนี้เสียออกทุกไตรมาสสำหรับหนี้ที่ไม่สามารถติดตามได้แล้ว ในส่วนของการตั้งสำรองหนี้นั้นขณะนี้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งมิได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผลการดำเนินงานแต่อย่างใด

นายกิติพัฒน์ ชลวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร J Fintech เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปีนี้ที่ 4,200 ล้านบาท บนฐานลูกค้าราว 160,000 ราย โดยมีการขยายพอร์ตสินเชื่อทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ ร่วมกับบริษัทเครือ และเตรียมพร้อมที่จะรุกการปล่อยสินเชื่อแบบดิจิตัล ร่วมกับบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด สำหรับภาพรวมครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ณ สิ้นไตรมาส 2/62 บริษัทมีพอร์ตสินเชื่ออยู่ทั้งหมด 3,726 ล้านบาท และมี NPL อยู่ในระดับต่ำที่ 4.4%

ส่วนนายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร J กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังมีโอกาสที่จะพลิกกลับมามีกำไร จากช่วงครึ่งปีแรกที่บริษัทมีผลขาดทุน 17.49 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทคาดว่าจะรับรู้ยอดโอนของโครงการ Newera ซอยสุคนธสวัสดิ์ 38 จำนวน 177 ยูนิต ได้ไม่น้อยกว่า 250 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของยอดขายโครงการ ในส่วนที่เหลือคาดว่าจะรับรู้ในช่วงไตรมาส 1/63

ทั้งนี้การรับรู้ยอดโอนของโครงการคอนโดมิเนียม และการปรับโครงกสร้างการบริหารจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ทั้งภายใต้แบรนด์ IT Junction และ The Jas ส่งผลให้ปัจจุบัน occupancy rate เฉลี่ยสูงเกือบ 100% แล้ว คาดว่าจะเข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้รวมในปี 62 มากกว่า 20% จากปีก่อนที่ 915.67 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างโครงการศูนย์การค้าชุมชนภายใต้แบรนด์ "The Jas AmataNakorn" ชลบุรี คาดใช้งบลงทุนราว 300 - 400 ล้านบาท โดยจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการช่วงต้นปี 63 ปัจจุบันบริษัทได้รับความสนใจจองพื้นที่เช่าเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้อัตราการใช้พื้นที่ (occupancy rate) ในโครงการนี้ใกล้เต็ม 100% แล้ว

และบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาการขายสินทรัพย์ประเภทเพื่อให้เช่า ภายใต้แบรนด์ The Jas จำนวน 3 แห่ง เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยจะนำเงินที่ได้มาลงทุนเช่าที่พัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต ซึ่งแบรนด์ The Jas มีอัตราการเติบโตที่ดี อีกทั้งตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพทำให้มีสัญญาการการเช่าพื้นที่จากลูกค้าใกล้เคียง 100% เต็มแล้ว เบื้องต้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปการขายเข้ากอง REIT จำนวน 1 โครงการ ในช่วงต้นปี 63 จากเป้าหมายการขายสินทรัพย์เข้ากลองไม่น้อยกว่า 1 โครงการต่อปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ