PTT จ่อชงมติกพช.ดึงเงิน 6 พันลบ.ช่วยค่าไฟเข้าบอร์ด,ประเมินปี 66 น้ำมันดิบ-GRM ย่อตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 28, 2022 19:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธนพล ประภาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า บริษัทจะเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือลดต้นทุนค่าไฟฟ้าในเร็ว ๆ นี้ หลังจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ขอความร่วมมือจาก ปตท.จัดสรรรายได้จากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อเดือนระยะเวลา 4 เดือน (ตั้งแต่ ม.ค.-เม.ย. 66) มาช่วยสนับสนุนการลดต้นทุนค่าไฟฟ้า

แบ่งการจัดสรร ดังนี้ ส่วนที่ 1 เป็นส่วนลดราคาค่าก๊าซฯ ให้กับ กฟผ. ส่วนที่ 2 เป็นส่วนลดราคาก๊าซฯ สำหรับโรงแยกก๊าซฯ ในการคำนวณต้นทุนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อเป็นเชื้อเพลิง และส่วนที่ 3 กพช. มีมติให้ ปตท.ร่วมกับ กฟผ.บริหารจัดการผลกระทบของราคาก๊าซธรรมชาติต่อค่าไฟฟ้า โดยให้ ปตท. คิดราคาก๊าซฯ สำหรับโรงไฟฟ้าของ กฟผ.ทั้ง IPP และ SPP ในระดับราคาเดียวกับที่ใช้การประมาณการค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)

"บริษัทจะต้องดำเนินการโดยให้เกิดความคำนึงต่อผู้ถือหุ้นทุกฝ่าย ซึ่งแนวทางการช่วยเหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างรอบคอบ"นานธนพล กล่าว

สำหรับสถานการณ์ตลาดในปี 66 บริษัทคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย มาอยู่ที่ระดับ 85 ถึง 95 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปีนี้คาดจะเฉลี่ยอยู่ที่ 96-101 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปัจจัยกดดันมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง รวมถึงมาตรการ Zero โควิดของจีนที่เข้ามากระทบต่ออุปสงค์ ขณะที่ทางฝั่งอุปทานของสหรัฐก็มีการเพิ่มขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ยังได้ปัจจัยหนุนในระยะสั้นจากการเข้าสู่ช่วงการยุติการนำเข้าน้ำมันดิบของรัสเซียในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ และกลุ่มโอเปกพลัสยังมีแผนลดกำลังการผลิตลง

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบสำเร็จรูปในปีหน้าคาดว่าจะอ่อนตัวลงทุกผลิตภัณฑ์ ทำให้ค่าการกลั่น GRM สิงคโปร์ ในปี 66 จะย่อตัวลง จากปีนี้ โดยหลักๆจะมาจากตลาดแก๊สโซลีนที่เข้ามากดดัน โดยคาด GRM ปีหน้าจะอยู่ที่ 7-8.3 เหรียญต่อบาร์เรล จากปีนี้คาดอยู่ที่ 9.6-10.6 เหรียญต่อบาร์เรล

ราคา LNG ในปีหน้าคาดว่าจะปรับตัวขึ้นโดย Sport LNG จะอยู่ที่ประมาณ 43-48 เหรียญต่อล้านบีทียู (MMBTU) โดยหลักจะมาจากการลดปริมาณการส่งก๊าซสู่ยุโรปของรัสเซียและการเข้าสู่ฤดูหนาวช้ากว่าช่วงปกติ ส่งผลให้ความต้องการใช้ก๊าซสูงขึ้นในช่วงต้นปี 66

ราคาปิโตรเคมี ทั้งตลาดอะโรเมติกส์และโอเลฟิน คาดว่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีนี้โดยลดลงประมาณ 4-6% หลักๆมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง จากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่า มาตรการควบคุม โควิด-19 รวมถึงอุปทานล้นตลาด แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยบวกมาจากราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง ช่วยหนุนราคาผลิตภัณฑ์ทั้งสองสาย

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในปี 66

-ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ปริมาณผลผลิตจะสูงขึ้นจากการเดินเครื่องกำลังการผลิตแหล่งเอราวัณ รวมถึงโครงการอื่นๆ ในอ่าวไทย ขณะที่ราคาขายก๊าซน่าจะปรับตัวลดลงเนื่องจากจะมีแหล่งก๊าซ G1 และ G2 ราคาต่ำเข้ามาเต็มปีในปีนี้

-ธุรกิจก๊าซธรรมชาติคาดปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการภาคไฟฟ้าที่เติบโตมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้นทุนก๊าซเฉลี่ยยังได้รับแรงกดดันจากราคา LNG ในตลาดที่ยังอยู่ในระดับสูง ตามดีมานด์เพิ่มขึ้นท่ามกลางอุปทานตึงตัว

-ธุรกิจน้ำมัน ปริมาณขายฟื้นตัวตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ

-ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โรงกลั่นได้รับแรงกดดันทำให้ GRM ลดลงเล็กน้อย แต่กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากปีนี้ผ่านการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ของโรงกลั่น PTTGC และ IRPC ไปแล้ว

-ธุรกิจไฟฟ้า คาดว่าความต้องการใช้ในประเทศฟื้นตัว แต่ด้วยราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูงก็น่าจะเป็นแรงกดดันของต่อต้นทุนเชื้อเพลิงได้

ส่วนไตรมาส 4/65 คาดว่าราคาน้ำมันไม่น่าจะลดลงมาก ทำให้ Stock loss ลดลง โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 91-96 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5-4.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบ่าร์เรล ซึ่งลดลงจากไตรมาส 3/65 เนื่องจากอุปสงค์ที่ลดลงท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และอุปทานส่งออกจากประเทศจีนที่จะเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มโควตาส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันจากประเทศจีน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ